xanga tracking
herbs-in-manman
manman clip
herbs-in-manman  flowermanman
manman.flixya
 hellomanman
 happy-topay
 invite-buying
 men-women-apparel

sex shop
diarylovemanman
 homemanman
 menmen-love
alovemanman
news-the-world
 foodmanman
 ghost-in-manman
 U.F.O.manman
herbs-in-manman
 manman

Friends talk contact man love
manes2006@ovi.com

Recommended.

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กำจัดขน ระวังสารเคมีใน ครีมกำจัดขน

กำจัดขน ระวังสารเคมีใน ครีมกำจัดขน

กำจัดขน โดย: รัสมี ภู

(ภาพประกอบ)



หนุ่มสาวคนไหน ชอบพึ่งเคมีกำจัดขนพึงระวังไว้ให้ดี

เรื่องสวย ๆ งาม ๆ ก็เป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งกับเด็กที่กำลังก้าวสู่วัยเป็นหนุ่มสาวรุ่น ๆ ด้วยละก็...ทุกอย่างต้องเนี้ยบเรียบกริบ ผมสักเส้นยังไม่อยากให้กระดิก อย่าว่าแต่ไรขนอ่อน ๆ ที่จะขึ้นมาแผ้วพาน ทั้งรักแร้ หน้าแข้ง ขนแขน ไรหนวด รู้สึกมันเป็นส่วนเกินไปเสียทั้งนั้น

แล้วก็เจ้าอารมณ์อย่างนี้ละค่ะ ทำให้เกิดอาการกระหายใคร่หาวิธีกำจัดขนอันไม่พึงประสงค์ขึ้นมา ว่ากันไปเรื่อย ตั้งแต่การใช้วิธีธรรมชาติอย่างการถอนและโกน ไปจนถึงพึ่งพาสารเคมีอย่างครีมกำจัดขน

ก็มันแสนจะสะดวก ง่าย ผิวหนังเรียบ และขนก็หายไปได้ราวปลิดทิ้ง

การจะใช้วิธีสบาย ๆ อย่างนี้จึงต้องอาศัยการ รู้ไว้ใช่ว่า อยู่บ้าง...เพื่อดูแลรักษาผิวให้ยังคงอยู่อย่างปกติสุข ซึ่งในเรื่องนี้ น.พ.ประวิตร พิศาลบุตร อาจารย์พิเศษภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนัง ได้ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องครีมกำจัดขนเอาไว้ว่า

"ครีมกำจัดขน (chemical depilatorie) ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ จะมีทั้งในรูปครีม ออยน์เม้นท์ เจล โฟม และโรลออล ซึ่งครีมที่ใช้ได้ผลส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยสารเคมีจำพวกซัลไฟลด์ (sulfide) ซึ่งจะออกฤทธิ์รวดเร็วและได้ผลดี แต่เวลาใช้ครีมตัวนี้จะทำให้เกิดก๊าซไข่เน่าที่ส่งกลิ่นเหม็น และทำให้ผิวระคายเคือง"

"นอกจากนี้ ยังมีสารไทโอไกลโคเลท (thioglycolate) ซึ่งถือเป็นตัวผสมหลักในครีมกำจัดขนที่ใช้กันอยู่ทั่วไป สำหรับสารตัวนี้จะไม่ค่อยก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และไม่ส่งกลิ่นเหม็น แต่การที่ขนจะหลุดออกมา ต้องใช้เวลานานกว่าครีมที่มีส่วนผสมของซัลไฟด์"

"ความจริงการใช้ครีมกำจัดขนไม่มีความจำเป็นเลย เพราะขนเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเด็กอยากใช้จริง ๆ ก็ควรรอให้อายุเกิน 15 ปีไปแล้ว และควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง อย่าเลือกใช้เองตามลำพังเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

ก่อนใช้ควรอ่านฉลากยาและวิธีใช้ให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน เพราะครีมไม่ได้ออกฤทธิ์ที่เส้นขนอย่างเดียว แต่ยังออกฤทธิ์ที่ผิวหนังส่วนนอก จึงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และระดับความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ คือถ้ามีพวกซัลไฟลด์เป็นส่วนผสมก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองง่าย"

ข้อ แนะนำสำหรับคนรักสวยรักงามที่ยังสมัครใจจะใช้ครีมกำจัดขน

อ่านฉลากยาให้เข้าใจวิธีการใช้อย่างชัดเจน เพราะคำแนะนำของครีมแต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้

ควรทำความสะอาดผิว และรอจนผิวแห้งสนิทก่อนใช้ครีมกำจัดขน

อย่าทาครีมทิ้งไว้เกินกำหนดเวลาที่บอกในคู่มือการใช้ หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

อย่าใช้ครีมกำจัดขนที่ขามาใช้กับใบหน้าและผิวหนังส่วนที่บอบบาง

ห้ามใช้ครีมกำจัดขนขณะที่ผิวหนังกำลังอักเสบหรือเป็นโรคอยู่

เมื่อใช้ครีมครั้งแรกควรทาครีมในตำแหน่งเล็กๆ ก่อน เพื่อทดสอบอาการแพ้

ป้องกันบริเวณข้างเคียงที่ไม่ต้องการโดนครีมโดยการทางขี้ผึ้งขาว (petrolatum jelly)

และความไม่รู้ให้ถี่ถ้วนอาจนำเหตุไม่พึงประสงค์มาให้ได้เสมอค่ะ คุณหมอจึงบอกว่า ถ้าใช้ครีมกำจัดขนแล้วเกิดมีอาการระคายเคืองขึ้นมาล่ะก็...

"อาจแก้ได้โดยการทาครีม สเตียรอยด์อย่างอ่อน หรือครีมว่านหางจระเข้ แต่ถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.momypedia.com/
ที่มาจาก http://health.kapook.com/view15740.html

อยู่ก่อนแต่ง-แต่งก่อนอยู่

“อยู่ก่อนแต่ง-แต่งก่อนอยู่” ...ใครเสี่ยง ‘ม่าย’ สูงกว่ากัน?

(ภาพประกอบ)


การ ที่คนสองคนตัดสินใจอยู่กินกันฉันสามีภรรยาก่อนแต่งงานใช่ว่าจะดีเสมอไป เมื่อนักวิจัยเผย ‘อยู่ก่อนแต่ง’เสี่ยงหย่าร้างสูงกว่าคนที่เลือก ‘แต่งก่อนอยู่’

นับว่าค่านิยมของหนุ่มสาวยุคนี้สำหรับการอยู่ก่อนแต่งอาจกลายเป็น เรื่องธรรมดาของหลายๆคู่เพราะมีจำนวนมากมายในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองนอกหรือบ้านเราเองต่างเลือกที่จะลองใช้ชีวิตคู่ก่อน แต่งงาน

ทั้งนี้ได้มีผลการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของคู่รักจำนวนหนึ่ง และพบว่าคนที่อยู่ก่อนแต่งนั้นมีโอกาสประสบปัญหาหย่าร้างมากกว่าคนที่แต่ง งานก่อนแล้วค่อยใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ซึ่งคนที่ยังคิดที่จะแต่งก่อนอยู่ในสมัยนี้มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

จากการสำรวจได้เห็นปัญหาที่กลาย เป็นประเด็นสำคัญของคนที่อยู่ก่อนแต่งส่วนใหญ่ว่า 1ใน5 ของคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันนั้น มักจะเจออุปสรรคมากมายและหย่าร้างกันแล้ว ซึ่งหากเทียบเป็นอัตราส่วนพบว่า จากกลุ่มคนที่อยู่ก่อนแต่งที่ทางทีมงานสำรวจมานั้น มีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีชีวิตหลังแต่งงานอย่างที่หวังไว้และยังรักกันเหมือ นดิม

ส่วนสาเหตุที่นำไปสู่การหย่าร้างของคู่รักหลายคู่ที่ตัดสินใจอยู่ ก่อนแต่ง และมีอันต้องเลิกลากันไปหลังจากที่ตัดสินใจแต่งงานกันนั้น นักวิจัยกล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันฉันสามี-ภรรยานั้น ทั้งคู่อาจตัดสินใจแต่งงานกันเพราะอยู่ด้วยกันเลย สถานการณ์มันพาไปให้ทั้งคู่ต้องเลยตามเลย

“อีกประการหนึ่งเป็น เพราะทนแรงกดดันจากคนในครอบครัวไม่ไหว เพราะพวกเขาต้องการให้ทั้งคู่ทำถูกต้องตามประเพณี หรือไม่ก็ทั้งคู่ต้องการแต่งงานกันเพียงเพราะเชื่อว่าการแต่งงานจะสามารถผูก มัดคนที่เรารักไว้ จะได้ไม่ไปมีคนอื่น ซึ่งความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่ทำให้หลายคนตัดสินใจผิดในเรื่องของการ แต่งงาน”

อย่าไรก็ดี จากการศึกษาคู่รักในประเทศอังกฤษพบว่า ชาวอังกฤษจำนวนมากกว่า3 ใน 4 เลือกที่จะอยู่ก่อนแต่ง ซึ่ง มีคู่รักถึง 1 ใน 4 จะรอให้มีลูกก่อนสัก 1 คน แล้วค่อยแต่งงาน

ขณะที่ทางด้านคู่รักชาวอเมริกันพบว่า คู่แต่งงานที่เคยตัดสินใจอยู่ก่อนแต่งนั้น ต้องกลายเป็นหม้ายจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก สามี-ภรรยาหลายคู่ไม่มีความอดทนในการครองเรือนมากพอ จึงเลือกการหย่าร้างเป็นทางออก
เด็ก,ทะเลาะ
ดร.กาเลนา เราห์เดส นักจิตวิทยา กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ตัดสินใจแต่งงานกันเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่เลยตามเลย โดยที่ไม่ได้คิดถึงอนาคตในวันข้างหน้า

“จากการศึกษาในครั้งนี้ทำให้เรา รู้ว่า คู่รักส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจอยู่ก่อนแต่งนั้น แม้จะแต่งงานกัน แต่พวกเขากลับไม่ได้คิดที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ พวกเขาแต่งงานกันเพียงเพราะการอยู่ด้วยกัน ทำให้ความรับผิดชอบและสถานการณ์ต่างๆมันพาไปเท่านั้น”

ส่วนทางด้านศาสตราจารย์สก๊อต แสตนลีย์ ผู้ประสานงานศูนย์การศึกษาสถานภาพการสมรสและครอบครัว ของยูนิเวอร์รีเลชั่นชิพซิตี้ เมืองเดนเวอร์ เผยว่า คนที่หมั้นกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่มั่นใจในชีวิตหลังแต่งงานของเขา

อย่าไรก็ตาม ในการศึกษาเกี่ยวกับคู่สมรสที่อยู่ก่อนแต่งนี้ได้ทำการสำรวจคู่รักอายุ ตั้งแต่ 18-34 ปี ที่เพิ่งแต่งงานกันไปจนถึงคนที่แต่งงานกันร่วม10ปี โดยสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความพึงพอใจในชีวิตคู่หลังแต่งงาน ปัญหาที่พบเจอ รวมไปถึงเรื่องบนเตียงด้วย

“คู่รักส่วนใหญ่ไม่ได้ ตั้งใจที่ตัดสินใจจะอยู่ด้วยกันไปตลอด เพราะ 2ใน3 คนกลุ่มนี้ยอมรับว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้เลย มันเป็นสถานการณ์ที่เลยตามเลยจริงๆ เพราะเราอยู่ด้วยกันอย่างสามี-ภรรยาอยู่แล้ว ขณะที่มีเพียง 1ใน3 เท่านั้นที่ตั้งใจที่จะแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างจริง จัง”ศาสตราจารย์แสตนลีย์กล่าว

ทั้งนี้ หากเอ่ยถึงหลักศาสนาส่วนใหญ่แล้ว เป็นที่ทราบดีว่า ทุกศาสนาไม่สนับสนุนในในการอยู่ก่อนแต่ง ซึ่ง 49 เปอร์เซ็นต์ของคู่รักที่แต่งงานแล้ว และอีก 39 เปอร์เซ็นต์สำหรับคนที่อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่ได้แต่งงาน มีความเห็นตรงกันและยอมรับว่า ศาสนาไม่เคยสนับสนุนให้คนเราอยู่ก่อนแต่งเพราะมันเรื่องที่ไม่สมควรอย่าง ยิ่ง

“การอยู่ก่อนแต่งอาจกลายเป็นภาระผูกพันที่ทำให้ ใครหลายคนต้องแต่งงานกันแต่ไม่สามารถครองรักกันไปตลอดรอดฝั่งได้ ซึ่งเราอาจสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องตกอยู่ในสภาพเลยตามเลยนั้น เป็นเพราะว่าการที่คนเราตัดสินใจอยู่กินกันกับใครสักคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากที่จะเลิกคบกันง่ายๆ เพราะสถานภาพ ณ ตอนนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ “แฟน”กันเท่านั้นนั่นเอง” ศาสตราจารย์แสตน ลีย์กล่าวทิ้งท้าย

เรียบเรียงจากเดลิเมล์

ผู้ติดตาม