การ ที่คนสองคนตัดสินใจอยู่กินกันฉันสามีภรรยาก่อนแต่งงานใช่ว่าจะดีเสมอไป เมื่อนักวิจัยเผย ‘อยู่ก่อนแต่ง’เสี่ยงหย่าร้างสูงกว่าคนที่เลือก ‘แต่งก่อนอยู่’
นับว่าค่านิยมของหนุ่มสาวยุคนี้สำหรับการอยู่ก่อนแต่งอาจกลายเป็น เรื่องธรรมดาของหลายๆคู่เพราะมีจำนวนมากมายในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองนอกหรือบ้านเราเองต่างเลือกที่จะลองใช้ชีวิตคู่ก่อน แต่งงาน
ทั้งนี้ได้มีผลการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของคู่รักจำนวนหนึ่ง และพบว่าคนที่อยู่ก่อนแต่งนั้นมีโอกาสประสบปัญหาหย่าร้างมากกว่าคนที่แต่ง งานก่อนแล้วค่อยใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ซึ่งคนที่ยังคิดที่จะแต่งก่อนอยู่ในสมัยนี้มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
จากการสำรวจได้เห็นปัญหาที่กลาย เป็นประเด็นสำคัญของคนที่อยู่ก่อนแต่งส่วนใหญ่ว่า 1ใน5 ของคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันนั้น มักจะเจออุปสรรคมากมายและหย่าร้างกันแล้ว ซึ่งหากเทียบเป็นอัตราส่วนพบว่า จากกลุ่มคนที่อยู่ก่อนแต่งที่ทางทีมงานสำรวจมานั้น มีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีชีวิตหลังแต่งงานอย่างที่หวังไว้และยังรักกันเหมือ นดิม
ส่วนสาเหตุที่นำไปสู่การหย่าร้างของคู่รักหลายคู่ที่ตัดสินใจอยู่ ก่อนแต่ง และมีอันต้องเลิกลากันไปหลังจากที่ตัดสินใจแต่งงานกันนั้น นักวิจัยกล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันฉันสามี-ภรรยานั้น ทั้งคู่อาจตัดสินใจแต่งงานกันเพราะอยู่ด้วยกันเลย สถานการณ์มันพาไปให้ทั้งคู่ต้องเลยตามเลย
“อีกประการหนึ่งเป็น เพราะทนแรงกดดันจากคนในครอบครัวไม่ไหว เพราะพวกเขาต้องการให้ทั้งคู่ทำถูกต้องตามประเพณี หรือไม่ก็ทั้งคู่ต้องการแต่งงานกันเพียงเพราะเชื่อว่าการแต่งงานจะสามารถผูก มัดคนที่เรารักไว้ จะได้ไม่ไปมีคนอื่น ซึ่งความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่ทำให้หลายคนตัดสินใจผิดในเรื่องของการ แต่งงาน”
อย่าไรก็ดี จากการศึกษาคู่รักในประเทศอังกฤษพบว่า ชาวอังกฤษจำนวนมากกว่า3 ใน 4 เลือกที่จะอยู่ก่อนแต่ง ซึ่ง มีคู่รักถึง 1 ใน 4 จะรอให้มีลูกก่อนสัก 1 คน แล้วค่อยแต่งงาน
ขณะที่ทางด้านคู่รักชาวอเมริกันพบว่า คู่แต่งงานที่เคยตัดสินใจอยู่ก่อนแต่งนั้น ต้องกลายเป็นหม้ายจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก สามี-ภรรยาหลายคู่ไม่มีความอดทนในการครองเรือนมากพอ จึงเลือกการหย่าร้างเป็นทางออก
เด็ก,ทะเลาะ
ดร.กาเลนา เราห์เดส นักจิตวิทยา กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ตัดสินใจแต่งงานกันเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่เลยตามเลย โดยที่ไม่ได้คิดถึงอนาคตในวันข้างหน้า
“จากการศึกษาในครั้งนี้ทำให้เรา รู้ว่า คู่รักส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจอยู่ก่อนแต่งนั้น แม้จะแต่งงานกัน แต่พวกเขากลับไม่ได้คิดที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ พวกเขาแต่งงานกันเพียงเพราะการอยู่ด้วยกัน ทำให้ความรับผิดชอบและสถานการณ์ต่างๆมันพาไปเท่านั้น”
ส่วนทางด้านศาสตราจารย์สก๊อต แสตนลีย์ ผู้ประสานงานศูนย์การศึกษาสถานภาพการสมรสและครอบครัว ของยูนิเวอร์รีเลชั่นชิพซิตี้ เมืองเดนเวอร์ เผยว่า คนที่หมั้นกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่มั่นใจในชีวิตหลังแต่งงานของเขา
อย่าไรก็ตาม ในการศึกษาเกี่ยวกับคู่สมรสที่อยู่ก่อนแต่งนี้ได้ทำการสำรวจคู่รักอายุ ตั้งแต่ 18-34 ปี ที่เพิ่งแต่งงานกันไปจนถึงคนที่แต่งงานกันร่วม10ปี โดยสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความพึงพอใจในชีวิตคู่หลังแต่งงาน ปัญหาที่พบเจอ รวมไปถึงเรื่องบนเตียงด้วย
“คู่รักส่วนใหญ่ไม่ได้ ตั้งใจที่ตัดสินใจจะอยู่ด้วยกันไปตลอด เพราะ 2ใน3 คนกลุ่มนี้ยอมรับว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้เลย มันเป็นสถานการณ์ที่เลยตามเลยจริงๆ เพราะเราอยู่ด้วยกันอย่างสามี-ภรรยาอยู่แล้ว ขณะที่มีเพียง 1ใน3 เท่านั้นที่ตั้งใจที่จะแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างจริง จัง”ศาสตราจารย์แสตนลีย์กล่าว
สร้างสรรค์ อิสระเสรีภาพ
รวบรวมค้นหาสินค้าดีๆเพื่อคุณ
ทั้งนี้ หากเอ่ยถึงหลักศาสนาส่วนใหญ่แล้ว เป็นที่ทราบดีว่า ทุกศาสนาไม่สนับสนุนในในการอยู่ก่อนแต่ง ซึ่ง 49 เปอร์เซ็นต์ของคู่รักที่แต่งงานแล้ว และอีก 39 เปอร์เซ็นต์สำหรับคนที่อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่ได้แต่งงาน มีความเห็นตรงกันและยอมรับว่า ศาสนาไม่เคยสนับสนุนให้คนเราอยู่ก่อนแต่งเพราะมันเรื่องที่ไม่สมควรอย่าง ยิ่ง
“การอยู่ก่อนแต่งอาจกลายเป็นภาระผูกพันที่ทำให้ ใครหลายคนต้องแต่งงานกันแต่ไม่สามารถครองรักกันไปตลอดรอดฝั่งได้ ซึ่งเราอาจสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องตกอยู่ในสภาพเลยตามเลยนั้น เป็นเพราะว่าการที่คนเราตัดสินใจอยู่กินกันกับใครสักคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากที่จะเลิกคบกันง่ายๆ เพราะสถานภาพ ณ ตอนนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ “แฟน”กันเท่านั้นนั่นเอง” ศาสตราจารย์แสตน ลีย์กล่าวทิ้งท้าย
“การอยู่ก่อนแต่งอาจกลายเป็นภาระผูกพันที่ทำให้ ใครหลายคนต้องแต่งงานกันแต่ไม่สามารถครองรักกันไปตลอดรอดฝั่งได้ ซึ่งเราอาจสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องตกอยู่ในสภาพเลยตามเลยนั้น เป็นเพราะว่าการที่คนเราตัดสินใจอยู่กินกันกับใครสักคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากที่จะเลิกคบกันง่ายๆ เพราะสถานภาพ ณ ตอนนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ “แฟน”กันเท่านั้นนั่นเอง” ศาสตราจารย์แสตน ลีย์กล่าวทิ้งท้าย